รูปที่ 1 การนวดไทยมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งถ้ามันไม่ดีจริง คงไม่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันครับ ดัดแปลงภาพจาก https://www.printwallpaper.net/product/spa-ex-007/

แพทย์แผนไทย กับ การนวด

แพทย์แผนไทย กับ การนวด


หากจะกล่าวถึง แพทย์แผนไทย ย่อมหนีไม่พ้น “การนวด” ครับ แต่การนวดนั้น จะเป็นการนวดอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจหรือไม่ จะเป็นการนวดกระปู๋ หรือนวดกระปี๋ไหม? มาดูกันครับ

การนวด คือ

การนวด คือ การทำกล้ามเนื้อผ่อนคลาย, กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท และต่อมต่าง ๆ ในบริเวณนั้น ๆ ทำงานดีขึ้นโดยใช้การ บีบ จับ คลึง รีดเส้น เหยียบ ยัน กดจุด และการดัด เป็นต้น ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการนวด คือ การปรับสมดุลร่างกาย การป้องกันโรค รวมไปถึงการรักษาโรคด้วยครับ

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าการนวดมีหลายหลากมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น การนวดแผนไทย การนวดแผนจีน การนวดแผนบาหลี การนวดกษัย และการนวดเร้ากำหนัด เป็นต้น แต่ในบทความนี้ผมจะขอ “โฟกัส” ไปที่ “การนวดไทย” เป็นหลัก (ใครสนใจอยากรู้เกี่ยวกับ การนวดเร้ากำหนด ก็คอมเม้นกันมานะครับ)

รูปที่ 1 การนวดไทยมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งถ้ามันไม่ดีจริง คงไม่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันครับ ดัดแปลงภาพจาก https://www.printwallpaper.net/product/spa-ex-007/
รูปที่ 1 การนวดไทยมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งถ้ามันไม่ดีจริง คงไม่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันครับ
ดัดแปลงภาพจาก https://www.printwallpaper.net/product/spa-ex-007/

 

นวดไทย คือ

การนวดแขนงหนึ่งที่อิงศาสตร์บำบัด และรักษาโรคการแพทย์แผนไทย โดยจะเน้นในลักษณะการกด การคลึง การบีบ การดัด การดึง การอบ และประคบ ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ “นวดแผนโบราณ”

นอกจากเป็นการกำจัดความเจ็บปวดอันเกิดจากโรคได้แล้ว ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย ซึ่งผมจะกล่าวถึงประโยชน์ของการนวดในท้ายบทความครับ ปัจจุบันเราสามารถแบ่งการนวดแผนไทยออกเป็น 2 สาย คือ สายเชลยศักดิ์ และ สายราชสำนัก

 

สายเชลยศักดิ์ หรือ สายพื้นบ้าน

ก่อนต้องขอบอกก่อนเลยว่า “เชลยศักดิ์” ไม่ใช่ “เชลยศึก” ดังนั้นการนวดนวดสายนี้มิใช่ศาสตร์ที่ต่ำต้อยอะไรเลย โดยตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เชลยศักดิ์ แปลว่า อยู่นอกทําเนียบ นอกทะเบียน…. ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าสมัยก่อนครูบาอาจารย์สายนี้มักจะให้ศิษย์สอนโดยการทดลองนวดครู ถ้าหากศิษย์นวดถูกต้อง ครูก็จะให้ผ่านได้ครับ

ดังนั้นการนวดสายเชลยศักดิ์จึงแพร่หลายในประชาชนทั่วไป หรือ ชาวบ้าน จึงสามารถเรียกวิชาการนวดสายนี้ในชื่อ “การนวดพื้นบ้าน” ก็ได้ครับ ซึ่งโดยส่วนมาก หมอนวดพื้นบ้าน จะถ่ายทอดวิชา และองค์ความรู้กันในครอบครัว ซึ่งเป็นความรู้ที่ส่งทอดกันมาเป็นรุ่นต่อรุ่น โดยแต่ละสำนักก็อาจจะมีการใช้พิธีกรรม และการใช้สมุนไพรแต่แตกต่างกันไปครับ

การเรียนการสอนของการนวดสายเชลยศักดิ์นั้นจะเน้นสอนแบบตัวต่อตัว การสาธิต และการทดลองฝึกปฏิบัติไปเลย โดยเนื้อหาของการเรียนมักจะเป็นการเล่าจากประสบการณ์ของครูเป็นหลัก และจะมีการสอนกายวิภาคศาสตร์แบบโบราณร่วมด้วย (เช่น การพิจารณาร่างกายตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค และเส้นประธานสิบ เป็นต้น)

รูปที่ 2 ภาพบรรยายการเรียนการสอนของวิชาหัตถเวชกรรม (นวด) แผนไทย จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นการนวด แต่ก็จำเป็นต้องมีหลักวิชา มิใช่นวดแบบไก่กาอาลาเล่ ดัดแปลงภาพจาก โรงเรียนสอนนวดไทย ครูพล
รูปที่ 2 ภาพบรรยายการเรียนการสอนของวิชาหัตถเวชกรรม (นวด) แผนไทย จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นการนวด แต่ก็จำเป็นต้องมีหลักวิชา มิใช่นวดแบบไก่กาอาลาเล่
ดัดแปลงภาพจาก โรงเรียนสอนนวดไทย ครูพล

นอกจากนี้ครูสายเชลยศักดิ์มักจะอมรมศิษย์ในเรื่องของจริยธรรม ศีลธรรมเป็นส่วนสำคัญด้วย อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราจะเห็นความแตกต่างระหว่าง หมอนวดที่แท้จริง กับ หมอนวดที่แอบแฝง (นวดกระปู๋ หรือ พวกอาบ อบ นวด) ได้อย่างชัดเจนครับ

การนวดในสายเชลยศักดิ์นี้ไม่เพียงแต่ใช้มือนวดเท่านั้น แต่สามารถใช้อวัยวะอื่นเพื่อนวดได้ เช่น ศอก เท้า ส้นเท้า เป็นต้น ซึ่งเหตุที่ใช้อวัยวะอื่นนวดเป็นเพราะต้องการผ่อนแรงของผู้นวดครับ ใครที่หมอนวดสายนี้จะรู้กันดีว่าการนวดแต่ละครั้งกินเวลา และพละกำลังมากแค่ไหน หากใช้เพียงแต่มือมีหวังผู้นวดลมจับแน่ๆ

รูปที่ 3 การนวดแบบเชลยศักดิ์สามารถใช้เท้าดัดกระดูกสันหลัง หรือ ยืดกล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องจริยามากนัก เพราะเป็นการให้การรักษากับประชาชน หรือ ชาวบ้านทั่วไป มันจึงเป็นที่นิยม และเป็นภาพจำของใครหลายๆคน ซึ่งแตกต่างจาก การนวดสายราชสำนัก ที่ต้องระวังท่าทางมากๆ หากไปทำท่านี้ใส่เจ้านาย หรือ กษัตริย์ มีหวังหัวหลุดออกจากบ่าเป็นแน่ ดัดแปลงภาพจาก ปันโปร - Punpromotion
รูปที่ 3 การนวดแบบเชลยศักดิ์สามารถใช้เท้าดัดกระดูกสันหลัง หรือ ยืดกล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องจริยามากนัก เพราะเป็นการให้การรักษากับประชาชน หรือ ชาวบ้านทั่วไป มันจึงเป็นที่นิยม และเป็นภาพจำของใครหลายๆคน ซึ่งแตกต่างจาก การนวดสายราชสำนัก ที่ต้องระวังท่าทางมากๆ หากไปทำท่านี้ใส่เจ้านาย หรือ กษัตริย์ มีหวังหัวหลุดออกจากบ่าเป็นแน่
ดัดแปลงภาพจาก ปันโปร – Punpromotion

สายราชสำนัก

การนวดสายราชสำนักมีการเรียนการสอนสืบต่อกันมาเช่นเดียวกับการนวดสายเชลยศักดิ์ครับ แต่เนื่องด้วยหมอจะต้องเข้าไปนวดรักษาให้เจ้าขุนมูลนายภายในรั่วพระราชวัง ครูบาอาจารย์จะจำต้องคัดเลือกศิษย์จากเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นทั้งนิสัยใจคอ รูปร่าง ท่าทาง ความเฉลียวฉลาด ความอดทน ว่าจะพอเรียนได้หรือไม่ ถ้าเห็นทีว่าคงจะไปไม่รอดก็จะไม่รับศิษย์ (วิชาใดที่เข้าพระราชวังได้จะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่ดีในยุคนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม อาคมต่างๆ วิชาแพทย์ วิชาทำอาหาร เป็นต้น)

รูปที่ 4 จะเห็นได้ว่า การนวดสายราชสำนัก มีความเรียบร้อยสุด ๆ ผู้นวดจะพยายามสัมผัสร่างกายของคนไข้ให้น้อยที่สุด เนื่องเพราะกลัวหัวหลุดออกจากบ่านั่นเอง
รูปที่ 4 จะเห็นได้ว่า การนวดสายราชสำนัก มีความเรียบร้อยสุด ๆ ผู้นวดจะพยายามสัมผัสร่างกายของคนไข้ให้น้อยที่สุด เนื่องเพราะกลัวหัวหลุดออกจากบ่านั่นเอง

นอกจากความรู้ที่มีเหมือนกันกับสายเชลยศักดิ์แล้ว ก็จะมีวิชาที่เพิ่มเข้ามา เช่น การวินิจฉัยแยกโรค การควบคุมแรงในการนวดที่พิสดารขึ้น ตำแหน่งจุดสัญญาณเฉพาะโรค รวมไปถึงศีล (ความปกติ) ของหมอทั้ง 3 ประการ ได้แก่

  1. ไม่ดื่มสุรา (รวมไปถึงของที่ทำให้มึนเมา) เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการนวดลดลง การครองสติน้อยลง
  2. ไม่ล่อลวง ไม่เลี้ยงไข้ เช่น สามารถนวดให้หายได้ภายในครั้งเดียว แต่กลับล่อลวงให้คนไข้มานวดถึง 3 หรือ 4 ครั้ง เป็นต้น
  3. มีความสุภาพ คือ ไม่แสดงกิริยาท่าทางลวนลาม หรือ ใช้คำพูดแทะโลมผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิง ต้องนวดด้วยความสำรวม (แม้แต่ อิงฟ้า วราหะ เข้ามาก็ไม่หวั่นไหว)

ในสมัยต่อมา ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ ได้ตระหนักถึงการพัฒนาศักยภาพของ แพทย์แผนไทย จึงได้นำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (แพทย์แผนปัจจุบัน) มาประยุกต์ใช้กับแพทย์แผนไทยโดยไม่ทิ้งรากเหง้าเดิม จึงเป็นที่มาของคำว่า แพทย์แผนไทยประยุกต์ นั่นเองครับ

เพื่อสอดรับกับปณิธานอันแน่วแน่ของตน นพ.อวย เกตุสิงห์ จึงได้เชิญ อาจารย์หมอณรงค์สักข์ บุญรัตนหิรัญ (ปรมาจารย์ทางด้านการนวดไทยสายราชสำนัก) มาถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลัง ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากรุ่นต่อรุ่นครับ

รูปที่ 5 ภาพประวัติศาสตร์ (หาดูยากมาก) อาจารย์หมอณรงค์สักข์ และ อาจารย์หมอกรุงไกร ชี้จุดตำแหน่งนวดบนศพอาจารย์ใหญ่ ดัดแปลงภาพจาก https://www.slideserve.com/kirby-taylor/6490672
รูปที่ 5 ภาพประวัติศาสตร์ (หาดูยากมาก) อาจารย์หมอณรงค์สักข์ และ อาจารย์หมอกรุงไกร ชี้จุดตำแหน่งนวดบนศพอาจารย์ใหญ่
ดัดแปลงภาพจาก https://www.slideserve.com/kirby-taylor/6490672

เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาแยกความแตกต่างระหว่างหมอนวดทั้ง 2 สายกันดีกว่าครับ ผู้เขียนจะขอสรุปเอาให้อ่านง่ายที่สุดเอาไว้ลงในตารางด้านล่างนี้ครับ (ผู้เขียนไม่ได้นำการนวดเพื่อผ่อนคลายตามร้านนวดริมทาง หรือ ร้านนวดผ่อนคลายสำหรับนักท่องเที่ยวเข้ามาด้วย เนื่องจากเป้าหมายมิใช่เพื่อการรักษา)

สายเชลยศักดิ์ สายราชสำนัก
เน้นผ่อนคลาย และรักษาร่วมด้วย เน้นรักษาเป็นหลัก
มักเริ่มนวดที่ฝ่าเท้า มักไม่เริ่มนวดจากฝ่าเท้า
มักใช้อวัยวะหลายส่วนในการนวด มักใช้นิ้วมือ ฝ่ามือในการนวด
มักนวดคลึงเพื่อทำให้คนไข้ผ่อนคลาย มักไม่ใช้การนวดคลึงในการนวด
ไม่ได้จำกัดท่าทาง มักทำ แขนตรง เมื่อกดจุดสัญญาณ
สามารถให้คนไข้นอนคว่ำได้ มักไม่ให้คนไข้นอนคว่ำ (เน้นความสุภาพ)
ไม่จำกัด สามารถบิด ดัดกระดูกได้ตามศาสตร์ที่เรียนมา ไม่เน้นการดัด หรือ งอข้อ หลัง หรือส่วนใดของร่ายกายด้วยกำลังแรง
นวดคลึง (บางสำนักวิชาเน้นการนวดตามเส้นประธานสิบ) หวังผลต่อการมัดกล้ามเนื้อชั้นบน และชั้นลึก (บางมัด) กดจุดหวังผลต่ออวัยวะ และเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นตื้น-ลึกๆ โดยการเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลม (ตามเส้นประธานสิบ) และการทำงานของเส้นประสาท รวมไปถึงระบบอวัยวะภายใน

ตารางที่ 1 สรุปความแตกต่างระหว่างการนวดทั้ง 2 สาย (ไม่นับเรื่องจริยา)

 

กลุ่มอาการที่รักษาด้วยการนวด

  1. เจ็บ ปวด บวม ขัดยอก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ
  2. ความพอการผิดรูป ขาโก่ง เดินกะเผลก
  3. กล้ามเนื้อไม่มีแรง อัมพฤกษ์ อัมพาต
  4. ภาวะข้ออักเสบ ข้อยึดติดแข็ง ข้อเคลื่อน
  5. ภาวะกระทบจิตใจ

 

ประโยชน์ของการนวด

            แท้จริงแล้วการนวดมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าในแง่ของระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นครับ ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาแจกแจงประโยชน์ของการนวด 7 ระบบหลัก ๆ ดังนี้ครับ

  1. ประสาท
    • ระบบประสาทที่ถูกกระตุ้นอย่างถูกวิธีจะเกิดการผ่อนคลาย
    • ฟื้นฟูการทำงานระบบประสาท โดยเฉพาะโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
  2. กระดูก และข้อต่อ
    • เร่งการไหลเวียนเลือด เป็นเหตุให้กระดูกได้รับสารอาหารมากขึ้น และทำให้กระดูกผสานกันได้ไวขึ้น (กรณีกระดูกหัก)
  3. กล้ามเนื้อ
    • กล้ามเนื้อคลายตัว
    • ลดความแข็งแรงตึง
    • เพิ่มการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ
    • เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อ
    • กระตุ้นการกำจัดสารพิษที่คั่งค้างในกล้ามเนื้อออก
    • เพิ่มการ Uptake สารอาหารเข้ากล้ามเนื้อ
    • ลดการปวดเมื่อย
  4. ผิวหนัง
    • การไหลเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น
    • อุณหภูมิผิวหนังสมดุล
    • กระตุ้นการขับเหงื่อ และไขมัน
  5. ย่อยอาหาร
    • เพิ่มการบีบตัวของลำไส้
    • เพิ่มการทำงานของกระเพาะอาหาร
    • เพิ่มการดูดซึม
    • กระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก (เถาดานพรรดึก)
  6. ไหลเวียนโลหิต
    • เพิ่มการไหลเวียนเลือด
    • หากนวดถูกวิธีสามารถปรับสมดุลความดันเลือดได้
  7. สืบพันธุ์ (หญิง)
    • ปรับสมดุลการทำงานของมดลูก
    • มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น (สำหรับแม่หลังคลอด)

 

ขั้นตอนการเข้ารับการรักษานวดไทย (สายราชสำนัก)

  1. ซักประวัติ ตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุของโรค และวินิจฉัยโรค
  2. วางแผนการรักษา เช่น การนวด จุดสัญญาณที่ต้องกด ต้องเน้น การปรับแรง และกระจายแรงในการกดจุด รวมไปถึงการวางจิตในการรักษาด้วย
    • ผลการนวดมี 3 ระดับ ได้แก่ นวดแล้วหาย, นวดแล้วต้องอาศัยเวลา, นวดแบบประคับประคองอาการ
  3. ประเมินผลการรักษา
  4. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคหลังการรักษา
  5. นัดมารับการรักษาครั้งต่อไป (ในกรณีที่นวดครั้งเดียวไม่หาย)
รูปที่ 6 หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าโรคที่กำลังเป็นจะต้องนวดกี่ครั้งหาย
รูปที่ 6 หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าโรคที่กำลังเป็นจะต้องนวดกี่ครั้งหาย

จำนวนครั้งที่ควรมารับการรักษา

โดยปกติทั่วไป นวด 3-5 ครั้งหาย ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคนั้นๆ อีกทั้งต้องใช้อายุและอาชีพของผู้ป่วยมาเพื่อการพิจารณาอีกด้วย ในบางคน บางโรคไม่สามารถทำให้หายสนิทได้ ซึ่งทำได้เพียงประคับประคองให้อาการไม่แย่ลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

ข้อห้ามในการนวดไทย (สายราชสำนัก)

  1. มีไข้เกิน 38.5 องศาเซลเซียส
  2. ไข้พิษ ไข้กาฬ เช่น อีสุกอีใส งูสวัด
  3. โรคผิวหนังที่มีการติดต่อ
  4. โรคติดต่อ เช่น วัณโรค
  5. ไส้ติ่งอักเสบ
  6. กระดูกแตก หัก ปริ ร้าว ที่ยังไม่ติด
  7. สภาวะที่มีอาการอักเสบทั้งระบบร่างกาย

 

เขียน และเรียบเรียง โดย

พท.ป. ธาร์มันษ์ ตลับเพชร์สกุล

 

อ้างอิง

  1. หนังสือหัตถเวชกรรมแผนไทย (นวดแบบราชสำนัก)
  2. หนังสือ เส้น จุด และโรคในทฤษฎีการนวดไทย
  3. หนังสือ คู่มือนวดแผนไทย (นวดตัว)
  4. หนังสือ การนวดพื้นบ้านไทย ชุดภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านสุขภาพ 6

2 thoughts on “แพทย์แผนไทย กับ การนวด

  1. Pingback: แพทย์แผนไทย กับ การสักยา - พรหมวิหารคลินิก

  2. Pingback: หัตถการการรักษาของแพทย์แผนไทย - พรหมวิหารคลินิก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *